กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค มะยม


 มะยม เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลและใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ

Star Gooseberry

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค มะขาม


 มะขาม เนื้อมะขามมีสารแอนทราควินิน (Antraquinone) ซึ่งช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังมีกรดอินทรีย์ (Organic Acid) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาร์ริก (Tartaric Acid) และกรดซิตริค (Citric Acid) มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ เพิ่มกากใยอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายสะดวกtamarind

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค ส้มโอ


ส้มโอ ในส้มโอมีสารเพคติน (Pectin) สูง มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและมีสารโมโนเทอร์ปืน ที่ช่วยในการจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นหากรับประทานส้มโอหลังมื้ออาหารจะช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

pomelo

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค มะละกอแขกดำ


มะละกอแขกดำ ผลไม้สุดร่อยที่มีประโยชน์ใช้สอยอีกมากมาย เนื้อมะละกออุดมไปด้วยวิตามินซี มีเบต้าแคโรทีน ไลโคพีน รวมถึงมีแมกนีเซียม ทองแดง โพแทสเซียมและใยอาหาร เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงให้ผิวพรรณชุ่มชื้น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น277404[0]

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค ทับทิม


ทับทิม ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว ออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง นอกจากนี้ หากดื่มน้ำทับทิมตอนเช้าวันละ 1 แก้วจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้

10_1

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค มะเฟือง


มะเฟือง นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้วยังให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างเต็มเปี่ยม มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกช่วยขับเสมหะได้

452_81_1301445986

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค ฝรั่ง


ฝรั่ง ผลไม้พื้นบ้านราคาถูก และออกผลตลอดปี ทุกสายพันธุ์ล้วนเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น จึงสามารถป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ หรือช่วยสร้างรวมทั้งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันที่เราเคยท่องจำกันในสมัยเด็ก ๆ ได้อีกด้วย

150_21_1301389248

ปวดข้อเข่าเฉียบพลัน ภัยใกล้ตัวต้องระวัง


ปวดข้อเข่าเฉียบพลัน ภัยใกล้ตัวต้องระวัง

roro

 

อาการปวดเข่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับเราทุกๆคน แต่ที่น่ากลัวก็คือ “อาการปวดข้อเข่าเฉียบพลัน” จาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักกีฬาประเภทที่ต้องใช้แรงกระแทกของผิวข้อค่อนข้างมาก หรือการใช้งานผิดประเภท

นายแพทย์พีรพัศฆ์ รุจิวิชชญ์ ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์และแพทย์ที่ปรึกษาสโมรสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวว่าอาการปวดเข่าเฉียบพลัน มักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อรอบๆ เข่าหรือภายในข้อเข่า ตลอดจนการอักเสบของเส้นประสาท ซึ่งความรุนแรงมักขึ้นจากลักษณะการได้รับบาดเจ็บหรือการใช้งานผิดประเภท

อาการปวดเข่าเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มแรก…บริเวณกล้ามเนื้อรอบเข่าเกิดการตึงตัวผิดปกติจากการใช้งานผิดประเภทหรือ การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching & Warm Up) ก่อนการเล่นกีฬาไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

กลุ่มสอง…เกิดจากภายในผิวข้ออักเสบเฉียบพลัน เช่น การบิดข้อลูกสะบ้าหัวเข่า การเคลื่อนไหวผิดจังหวะและมีการเคลื่อนไหวผิดจังหวะและมีการเสียดสีกับตัวกระดูกอ่อนภายในข้อ ซึ่งมักจะกินเวลาในกรปวดค่อนข้างนาน และปวดต่อเนื่องไปเรื่อยๆส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การขึ้นลงบันไดจะเกิดการเสียวภายในหัวเข่า

กลุมสาม…เกิดการบาดเจ็บค่อนข้างเห็นได้ชัด เช่น เกิดการพลิกบิดตัวของข้อเข่าการฉีกขาดของโครงสร้างของหัวเข่าต่างๆ พวกนี้ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเรื้อรังตามมาได้และกลุ่มสุดท้าย การเกิดเนื้องอกภายในกระดูกโดยมากมักมีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นมากในช่วงกลางคืน

สำหรับแนวทางการรักษา นายแพทย์พีรพัศฆ์กล่าวว่า จะพิจารณารักษาตามสาเหตุ และระดับความรุนแรงของโรค โดยวิธีการรักษาอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากการรักษาแบบประคับประคองก่อน เช่น ถ้าตึงกล้ามเนื้อก็พักการใช้งาน และยืดกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อสมบรูณ์ขึ้น การฝึกบาลานซ์ในการเดิน ทรงตัวต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในอนาคตแต่หากบาดเจ็บในตัวข้อ จำเป็นต้องแบ่งตามระดับความรุนแรงว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าไม่รุนแรงก็ใช้วิธีการใช้ยาร่วมกับการทำกายภาพบำบัด

แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น มีความจำเป็นต้อง X-ray และ MRI หัวเข่า ร่วมกับการตรวจร่างกาย ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องรักษาโดยวิธีการผ่าตัด อาทิเช่น ในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติ มุมความชันของลูกสะบ้าผิดปกติ หรือในรายที่ข้อกระดูกอ่อนได้รับบาดเจ็บ ก็จำเป็นต้องเข้าไปซ่อมแซมผิวข้อกระดูกอ่อนภายในข้อเข่า เป็นต้น

โดยทั่วไปถ้าเข่าปวดเฉียบพลันแล้วขยับไม่ได้ เข่าบวมขึ้นมา ทำให้การใช้งานไม่ได้ตามปกติ ต้องรีบพบแพทย์เพื่อดูอาการ หากในรายที่ได้รับการบาดเจ็บมาใหม่ๆ ให้พักการรักษาเบื้องต้น โดยหลักการ “RICE” ซึ่งย่อมาจาก REST, IMMUBILIZE, ICE, ELEVATE ภาษาไทย คือ พักการใช้งานหยุดการเคลื่อนไหว หรือหยุดเล่นทันที โดยประคองข้อต่อที่ได้รับการบาดเจ็บไว้ ประคบเย็นและยกขาสูง หากอาการดีขึ้นภายใน  3-4 วัน แสดงว่าบริเวณในข้อต่อไม่ได้รับการบาดเจ็บอะไรมาก

สิ่งที่ควรระวังเพื่อไม่ให้เกิดอาการเจ็บและปวดเข่าเฉียบพลัน โดยฉพาะการเล่นกีฬาที่มีการกระทบกระแทกของผิวข้อเข่าค่อนข้างมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอลแบดมินตันที่มีการกระโดดบ่อยๆ เทนนิสหรือการวิ่งลู่ ทำให้เกิดแรงกระแทก และการรับน้ำหนักมากกว่าปกติ บางจังหวะผิวข้อมีการเสียดกันทำให้เกิดการบาดเจ็บและปวดข้อเข่าเฉียบพลันได้ง่ายและมากกว่าคนทั่วไป ควรเลือกรองเท้าที่ช่วยลดแรงกระแทกระหว่างพื้นที่ผิวสัมผัสกับข้อต่อและเข่าและข้อเท้าเรา ได้แก่กลุ่มที่มี Air Support บริเวณพื้นรองเท้าเป็นต้น

นายแพทย์พีรพัศฆ์แนะนำว่า ถ้าหากมีการวิ่งบ่อยๆ ควรเลือกพื้นผิววิ่งที่ไม่แข็งมากเกินไป และควรเลือกรองเท้าวิ่งให้เหมาะกับลู่วิ่งแข็งควรเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวสนามกีฬา หรือลู่วิ่ง เป็นต้น

การปวดเข่าเฉียบพลัน ถือว่าเป็นลักษณะการปวดที่ผิดปกติ เป็นภาวะที่ผู้ป่วยต้องใส่ใจ ไม่ควรละเลย ทางที่ดีควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเร่งด่วน หากสังเกตอาการแล้วยังไม่ดีขึ้น

แหล่งที่มา :หนังสือพิมพ์ M2F

 

ช่วยเข้ามาดูเพจใหม่หน่อยน่ะค่ะ
http://www.facebook.com/janjowhouse
ขอบคุณค่ะ

ขจัดปัญหาแก๊สแน่นท้อง กับ 10 อาหารควรเลี่ยง


ขจัดปัญหาแก๊สแน่นท้อง กับ 10 อาหารควรเลี่ยง

556000002361101

ไม่ว่าใครคงเคยประสบอาการแน่นท้องเพราะแก๊สในกระเพาะอาหาร ซึ่งปัญหาดังกล่าวสร้างความอึดอัด ชวนรำคาญใจ แถมยังทำให้ต้องอายหากลมในท้องระบายออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมอีกต่างหาก

เป็นที่ทราบกันดีว่าถั่วเป็นหนึ่งในอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร แต่ทราบหรือไม่ว่ายังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแน่นท้องได้ วันนี้เรานำอาหารและการปฎิบัติตนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวมาฝากกันค่ะ

1. อย่าดื่มน้ำพร้อมอาหาร   
การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารนับเป็นเรื่องที่ฟังดูปกติ แต่กลับทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ เพราะโดยปกติแล้วเราจะกลืนอากาศเข้าไประหว่างดื่มน้ำและรับประทานอาหารอยู่แล้ว แต่หากยิ่งรับประทานและดื่มสลับกันระหว่างมื้ออาหารจะยิ่งทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมากขึ้น ฉะนั้นควรเก็บน้ำไว้เป็นรายการสุดท้ายหลังรับประทานอาหารอิ่มแล้ว

2. เคี้ยวอาหารให้ช้าๆ
การรับประทานที่เร็วเกินไปก็ยังทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นควรเคี้ยวให้ละเอียด แต่ละมื้อควรมีเวลารับประทานอย่างน้อย 20 นาที และควรเลี่ยงการรับประทานระหว่างยืน เดิน และดูโทรทัศน์

3. การออกกำลังการอย่างหนัก
มีผลศึกษาเปิดเผยว่า 71% ของนักวิ่งมีปัญหาเรื่องการย่อย แก๊สในกระเพาะ และท้องอืด เพราะระหว่างการออกกำลังกายเรามีแนวโน้มจะหายใจทางปาก ซึ่งทำให้ได้รับอากาศเข้าท้องมากเกินไป

4. รับประทานผักบางประเภท
เชอรี่ หัวหอม ผักกาดขาว แอปเปิ้ล เห็ด และข้าวโพด เหล่านี้เป็นผักผลไม้ที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้คือถั่วทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กขนาดใหญ่ หรือถั่วที่ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพอย่างถั่วเหลือง ซึ่งลำไส้เล็กย่อยไม่หมดจึงเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้แบคทีเรียสร้างแก๊สขึ้นได้

 5. ความเครียดและความตื่นเต้น 
นอกจากจะสร้างปัญหาสุขภาพหลายอย่างแล้ว ความเครียดและความตื่นเต้นยังทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

6. ชีส
ในอาหารจำพวกนม หรือชีส จะมีน้ำตาลแล็คโตส ซึ่งจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ชื่อแลคเตส แต่หากกระบวนการย่อยทำงานไม่ดีก็จะเกิดแก๊สและอาการท้องอืดได้

7. อาหารอุ่นซ้ำ    
อาหารจำพวกแป้งที่ย่อยยาก อย่างแป้งพาสต้า เมื่อเย็นลง แล้วอุ่นซ้ำจะย่อยยากขึ้น เมื่อย่อยไม่หมดและหลงเหลือไปถึงลำไส้เล็ก จะทำให้แบคทีเรียย่อยอาหาร และนำไปสู่อาการท้องอืดได้

8. เบียร์และไวน์แดง 
ไม่เพียงแต่จะมีแก๊สเท่านั้น เบียร์ยังหมักจากยีสต์ที่อาจทำให้สมดุลย์ของแบคทีเรียในกระเพาะเสียไป และก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหารได้ ส่วนไวน์มีสารที่ทำให้ไวน์เป็นสีแดงที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย

9. หมากฝรั่ง 
การเคี้ยวหมากฝรั่งทำให้เรากลืนลมเข้าไปมากเกินไปได้ นอกจากนี้สารไซลิทอลในหมากฝรั่งหลายชนิดยังก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้

10. น้ำอัดลม 
ไม่ต้องบอกคงทราบกันดีว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดไว้ในน้ำอัดลมให้มีความซ่าจะก่อให้เกิดแก๊สได้โดยตรง

สำหรับท่านที่มีแก๊สเยอะ การหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มเสี่ยงก็อาจช่วยให้ไม่ต้องหงุดหงิดใจอีกต่อไปก็เป็นได้ค่ะ

เรียบเรียงจากเดลิเมล

แหล่งที่มา :ผู้จัดการออนไลน์

ช่วยเข้ามาดูเพจใหม่หน่อยน่ะค่ะ
http://www.facebook.com/janjowhouse
ขอบคุณค่ะ

สุขภาพดี…ด้วยสารพัดเห็ด


สุขภาพดี…ด้วยสารพัดเห็ด

เห็ด

มุมสุขภาพ ขอแนะนำอาหารดีๆ อีกชนิด เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้ที่ชื้นแฉะอย่าง “เห็ด” หาทานได้ง่าย แถมยังมีประโยชน์มากมายเลยล่ะคะ โดยปัจจุบันเห็ดหลากชนิด อาทิ เห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดแชมปิญอง เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดสกุลนางรมต่างๆ เห็ดโคน เห็ดหูหนู ถูกนำมาทำเป็นอาหารสุขภาพหลากเมนู นิยมทานทั้งแบบเห็ดสด แบบบรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่ตากแห้ง นอกจากนี้วงการยาก็นำไปศึกษาวิจัยเรื่องสรรพคุณทางยา

ที่น่าสนใจคือเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า เห็ดหลายชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง สามารถทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติจึงนิยมใช้เห็ดเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้เห็ดบางชนิดยังนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีกด้วย

เห็ดส่วนใหญ่มีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคลอเลสเตอรอล มีธาตุโปแตสเซียมสูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง แถมยังอุดมด้วยวิตามินบี เฉพาะในเห็ดหอมสดจะมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม การทานเห็ดสดหรือเห็ดที่ปรุงโดยความร้อนที่ไม่สูง โดยใช้เวลาไม่นานนัก จะให้คุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนนานๆ นะคะ เว้นแต่ในส่วนดอกสดของเห็ดจะมีวิตามินซีมากจึงไม่ควรกินสด ควรทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากมีสารบางอย่างจะไปยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหาร

คุณสมบัติของเห็ดจะเหมือนกับถั่ว ซึ่งมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนรสชาติเมื่อทำให้สุกจะคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ แต่จะย่อยง่ายกว่า นอกจากนี้เห็ดยังให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยซึ่งช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย เห็ดบางชนิดอย่างเช่นเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำก่อนนำมาปรุงอาหารจะมีปริมาณเส้นใยสูงเทียบเท่าผักที่มีเส้นใยมาก และยังมีปริมาณไขมันที่ต่ำ

เห็ดยังถือเป็นทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกัน เพราะมีซีลีเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ลดเสี่ยงเกิดมะเร็ง และโรคสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ มีโพแทสเซียม เป็นสารที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ มีวิตามินบีรวม ไรโบฟลาวิน ช่วยบำรุงผิวพรรณและการมองเห็น ไนอะซิน ควบคุมการทำงานระบบย่อยอาหารและระบบประสาท แต่เห็ดมีโซเดียมต่ำ

เรามาดูสรรพคุณของเห็ดแต่ละชนิดกันบ้างดีกว่าค่ะ
เห็ดหอม ลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็ง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โซเดียมต่ำเหมาะสำหรับคนป่วยโรคไต ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร

เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวส่งผลให้ภูมิต้านทานดี ช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงสมอง หัวใจ ปอด กระเพาะ ตับ แพทย์แผนจีนใช้บำรุงไต ลดไข้ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ต้มกับน้ำตาลกรวดจิบแก้ไอ

เห็ดเข็มทอง ถ้าทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เยื่อบุช่องท้อง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญเบต้ากลูแคน ช่วยต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้เสริมการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังสามารถรักษาโรคในระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ อย่างระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ แก้ปอดอักเสบ ภูมิแพ้ และระบบการไหลเวียนของเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอล

ส่วนเห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดนางรม เห็ดภูฎาน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด ปรับสภาพความดันโลหิต ลดการอักเสบ ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต เห็ดฟาง ลดความดันโลหิต เร่งการสมานแผล บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ช้ำใน เห็ดเผาะ หรือเห็ดถอบ บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ช้ำใน และเห็ดโคน บำรุงร่างกาย ทำให้แช่มชื่น กระจายโลหิต ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้

ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาสารสำคัญในเห็ด โดยเฉพาะสารจำพวกโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharide) ผู้วิจัยพบมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญของเอชไอวี ไวรัส เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยืดอายุผู้ป่วยโรคมะเร็ง ยังยั้งการเจริญของก้อนเนื้องอก และลดระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ทดลองอีกด้วยค่ะ

อย่างไรก็ดี ยังมีเห็ดบางประเภทที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือที่เรียกว่า เห็ดพิษ ซึ่งสวนใหญ่เจริญในป่า ดังนั้นวิธีการง่ายๆ ที่เราจะหลีกเลี่ยงอันตรายจากเห็ดพิษ คือ ไม่นำเห็ดที่ไม่รู้จัก เห็ดที่ถูกเก็บมาจากป่า มาปรุงอาหารทานเด็ดขาด

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านที่รักสุขภาพคงได้ทำความรู้จักกับเห็ดกันมากขึ้นจนอยากจะหาเมนูเห็ดมาทานกันในมื้อถัดๆ ไปกันแล้วใช่ไหมค่ะ อย่าลืมนะคะว่า เลือกทานเฉพาะเห็ดที่เราคุ้นเคย แค่นี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีจากสารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดกันแล้วล่ะคะ.

“PrincessFangy”
twitter.com/PrincessFangy
อิงเนื้อหาบางส่วนจาก http://www.ist.cmu.ac.th

แหล่งที่มา :เดลินิวส์ออนไลน์

ช่วยเข้ามาดูเพจใหม่หน่อยน่ะค่ะ
http://www.facebook.com/janjowhouse
ขอบคุณค่ะ

A WordPress.com Website.

Up ↑

อาหาร

อาหารชนิดต่างๆๆ

THAI FOOD

Yupasiri Pacharoen M.6.3 Number 2

ขนมหวานเเห่งความอร่อย

อร่อยน่ะจะบอกให้

ibreak2travel (หนีงานไปเที่ยว)

ทำงานให้เป็นต้องรู้จักเที่ยว

ร้านป้าน้อย

ร้านขายน้ำ ขนม ผลไม้ ในโรงเรียนราชบุรีบริหารธุรกิจ

CleanFoodAndHealthyFood

อาหารลดน้ำหนักคลีนฟู้ด

ขนมไทย 4 ภาค

หลากหลายความอร่อยขนมไทย 4 ภาค เหนือ อีสาน กลาง ใต้

ขนมไทย

Natcha Wongsuwat Nuber 07 M6.3

ขนมไทย

ขนมไทยง่ายๆ ขนมไทยชาววัง ของหวานอร่อยๆ วิธีทำขนมไทย

ขนมไทย อะไรเอ่ย

รวมสูตรขนมไทยหลายชนิดพร้อมภาพประกอบ และคำบรรยายวิธีการทำตามขั้นตอนอย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจหัดทำขนมไทยด้วยตนเอง

xkcd.com

ขนมหวาน แบบไทยๆ ทานได้ ทำได้ ง่ายๆ

Daring Fireball

ขนมหวาน แบบไทยๆ ทานได้ ทำได้ ง่ายๆ